ดราม่าบนรถไฟจีน! ชายอ้างเป็นพ่อ พาเด็กหญิงเข้าห้องน้ำ 30 นาทีไม่ออก พนักงานไม่ปล่อยผ่าน เปิดประตูพบฉากสะเทือนใจ รีบช่วยทันที!
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ข่าวอาชญากรรมธรรมดา แต่มันสะท้อนคำถามใหญ่ “เด็กๆ วันนี้ยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า?” เมื่อบนรถไฟความเร็วสูงสายหนึ่งในประเทศจีน ขณะที่ผู้โดยสารกำลังเดินทางตามปกติ กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ชายคนหนึ่งอุ้มเด็กหญิงขึ้นรถไฟ อ้างว่าเป็นลูกของตนเอง ก่อนจะพาเธอเข้าห้องน้ำและหายไปนานเกินครึ่งชั่วโมง และสิ่งที่พนักงานรถไฟพบเมื่อเปิดประตูออกมา ทำเอาผู้โดยสารทั้งขบวนแทบช็อก…
ตามรายงานระบุว่า ชายคนดังกล่าวพาเด็กหญิงวัยประมาณ 6 ขวบที่ดูเหมือนยังหลับใหลจากฤทธิ์ยาขึ้นมาบนรถไฟ เขาอ้างกับเจ้าหน้าที่ว่าเป็นพ่อของเด็ก แต่เมื่อพาเด็กเข้าห้องน้ำกลับไม่ยอมออกมานานถึง 30 นาที ทั้งที่ผู้โดยสารจำนวนมากต้องการใช้ห้องน้ำ และพฤติกรรมแปลกๆ นี้เองที่เปลี่ยนเป็นเหตุช่วยชีวิต เมื่อพนักงานหญิงบนรถไฟเดินไปตรวจสอบ เคาะประตูซ้ำหลายครั้งแล้วไม่มีเสียงตอบ จึงตัดสินใจเปิดประตูด้วยกุญแจสำรอง
สิ่งที่เห็นคือชายคนนั้นกำลังบีบจมูกเด็กไว้มือหนึ่ง อีกมือพยายามยัดอะไรบางอย่างเข้าปากเธอ เสียงตะโกนของพนักงานทำให้ชายคนร้ายตกใจ ในขณะที่เด็กหญิงอ่อนแรงพูดได้แค่เพียงว่า “เขาไม่ใช่พ่อหนู…” แล้วหมดสติไป
จากการสอบสวนภายหลังเปิดโปงแผนลักพาตัวที่วางไว้อย่างแนบเนียน พบว่า เด็กหญิงเดินทางโดยลำพังในสถานีรถไฟ และชายคนนี้ได้สะกดรอยเธอ เขาหลอกให้เด็กดื่มน้ำที่มียานอนหลับ ก่อนอุ้มขึ้นรถไฟเพื่อพาไปยังเมืองอื่น แผนลักพาตัวถูกวางไว้อย่างรอบคอบ แต่โชคดีที่เด็กหญิงฟื้นขึ้นเร็วกว่าที่เขาคาดไว้ และยิ่งโชคดีกว่านั้นคือมีพนักงานหญิงผู้กล้าหาญ ที่ไม่เมินเฉยต่อสัญญาณผิดปกติ
สิ่งที่น่ากลัวคือ คนร้ายยุคนี้ไม่ได้ “ฉุด” แต่ “หลอก” คือไม่ได้ใช้ความรุนแรงแบบเดิมอีกแล้ว พวกเขาเลือกใช้ความน่าเชื่อถือ และกลยุทธ์ทางจิตวิทยา ในการเข้าหาเด็กแทน และนี่คือ 3 วิธีหลอกล่อที่พบบ่อยที่สุดในปัจจุบัน
- ปลอมตัวเป็นคนรู้จัก : “แม่ฝากลุงมารับนะลูก” แค่รู้ชื่อพ่อแม่หรือโรงเรียน เด็กหลายคนก็หลงเชื่อทันที
- ล่อด้วยของเล่นหรือขนม : ขนมหนึ่งชิ้น ของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ก็พอทำให้เด็กเดินตามคนแปลกหน้าไปได้ง่ายดาย
- แกล้งขอความช่วยเหลือ : “น้องๆ ช่วยลุงหน่อย ลุงหาทางกลับบ้านไม่เจอ” หรือ “ลุงปวดท้อง ช่วยโทรหาญาติให้หน่อยสิ” เด็กที่มีน้ำใจมักตกเป็นเหยื่อของกลลวงนี้
สำหรับเหตุการณ์ข้างต้นนั้น พนักงานหญิงผู้กล้าหาญ ฮีโร่ของเด็กหญิงและครอบครัว หลายคนบอกว่า ถ้าไม่มีเธอในวันนั้น เด็กคนนี้อาจไม่มีโอกาสกลับบ้านอีกเลย เธอไม่ได้แค่ทำตามหน้าที่ แต่เธอเลือกที่จะสังเกตและกล้าตัดสินใจ แม้เพียงไม่กี่วินาทีแต่นั่นคือวินาทีที่เปลี่ยนชีวิตเด็กหญิงและครอบครัวของเธอไปตลอดกาล หากไม่มีสติปัญญาและการตัดสินใจอันเด็ดขาดของพนักงานหญิงในวันนั้น เหตุการณ์อาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่มีวันลืม การช่วยเหลือครั้งนี้ไม่เพียงแค่ช่วยชีวิตเด็กหนึ่งคน แต่ยังรักษาความสุขของครอบครัวทั้งครอบครัวไว้
แต่ไม่ใช่เด็กทุกคนจะโชคดีเหมือนกัน ดังนั้น ครอบครัวคือกำแพงด่านแรกที่คอยปกป้องลูกจากภัยร้ายรอบตัว สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำ อย่ารอให้เรื่องเกิดก่อนถึงจะป้องกัน
- ฝึกซ้อมสถานการณ์จริงกับลูก
พูดอย่างเดียวไม่พอ ต้องลองให้คนในครอบครัว “แสดงบทบาท” เป็นคนร้าย เพื่อดูว่าลูกจะตอบสนองอย่างไร แล้วค่อยอธิบายให้เข้าใจว่าอะไรคือจุดอันตราย - ไม่ละสายตาจากลูกแม้แต่วินาทีเดียว
โดยเฉพาะในที่สาธารณะอย่างห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ สถานีรถไฟ อย่าปล่อยให้ลูกเดินลำพังเด็ดขาด - ปลูกฝังทักษะเอาตัวรอดตั้งแต่ยังเล็ก
เช่น จำชื่อ-เบอร์โทรพ่อแม่ให้ได้, รู้จักหาผู้ใหญ่หรือคนหมู่มากเมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัย, ไม่รับของกินจากคนที่ไม่รู้จักเด็ดขาด, หากมีคนแปลกหน้าพยายามพาไป ให้ตะโกนว่า “หนูไม่รู้จักคนนี้!”
ในยุคที่ใครก็สามารถเข้าถึงข้อมูลของเราได้ง่าย การพึ่งพาความหวังว่าลูกจะโชคดีไม่พออีกต่อไป พ่อแม่ต้องเป็น “ด่านหน้า” ที่แข็งแรงที่สุดของลูก สอนลูกให้รู้เท่าทันภัย สร้างเกราะจากทักษะชีวิต ดีกว่าต้องเสียใจในวันที่มันสายเกินไป เพราะเรื่องแบบนี้…อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แม้แต่กับลูกของคุณเอง ดังนั้น ขอให้ทุกครอบครัวระวังภัย และร่วมเป็นเกราะป้องกันให้กับเด็กๆ ของเรา