เฮทั้งประเทศ!! ป.ป.ช. สั่งยึดทรัพย์ 3 ข้าราชการ

Author:

วันที่ 14 ส.ค. 2568 นายสาโรจน์ พึงรําพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสํานักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสําคัญกรณีร่ํารวยผิดปกติ 3 รายเรื่อง ดังนี้

เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดําเนินการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือนายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม เมื่อครั้งดํารงตําแหน่งพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ ร่ํารวยผิดปกติ รวมมูลค่า 81,424,952.08 บาท

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปี พ.ศ. 2554 – 2557 ขณะดํารงตําแหน่งพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และเมื่อปี พ.ศ.2558 ขณะดํารงตําแหน่งพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือนายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม ได้เข้าไปมีส่วนได้เสียในกิจการของสํานักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อประโยชนสําหรับตนเอง

โดยนําห้างหุ้นส่วนจํากัดของตนซึ่งใช้ชื่อญาติและลูกจ้างเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทน เข้าเป็นคู่สัญญากับสํานักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี จํานวน 26 โครงการ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ จํานวน 7 โครงการ และหลังจากห้างหุ้นส่วนจํากัดได้รับเงินค่าจ้างแล้ว จะโอนหรือถอนเป็นเงินสดฝากเข้าบัญชีของนายวัทธิกร ใสงาม

โดยในระหว่างปี 2554 – 2558 นายวัทธิกร ใสงาม และคู่สมรส มีรายได้ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมเป็นเงินจํานวน 7,264,160.64 บาท มีทรัพยสินที่เพิ่มขึ้นไม่สอดคล้องกับรายได้ และไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพยสินได้ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 81,424,952.08 บาท ดังนี้

1.เงินฝากธนาคารในชื่อของนายวัทธิกร ใสงาม จํานวน 5 บัญชี รวมเป็นเงิน 74,224,952.08 บาท 2.ที่ดิน ตําบลอิสาณ อําเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ จํานวน 1 แปลง มูลค่าประมาณ 6,200,000 บาท 3.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ HONDA แบบ HR-V15 จํานวน 1 คัน มูลค่าประมาณ 1,000,000 บาท

ณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้ นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือนายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จำนวน 81,424,952.08 บาท ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี

เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง

หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็น ของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125

สำหรับการดำเนินการทางวินัย กระทรวงพาณิชย์ได้มีคำสั่งลงโทษไล่นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือนายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม ออกจากราชการเป็นการเหมาะสมแล้ว ให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ

เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่านายไกรวิชญ์ ปัญญาชัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง ร่ำรวยผิดปกติ รวมเป็นเงินจำนวน 12,644,010.54 บาท

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2554 – 2556 ขณะที่นายไกรวิชญ์ ปัญญาชัย ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง มีทรัพย์สินไม่สัมพันธ์กับรายได้ และไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินได้ จำนวน 5 รายการ รวมเป็นเงินจำนวน 12,644,010.54 บาท ดังนี้

1.เงินฝากเข้าบัญชีนอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้รับจากการดำรงตำแหน่ง จำนวน 2 รายการ 1.1 เงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสบปราบ ชื่อบัญชี นายไกรวิชญ์ ปัญญาชัย จำนวน 3,387,101.94 บาท 1.2 เงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเถิน ชื่อบัญชีนายไกรวิชญ์ ปัญญาชัย จำนวน 5,477,519 บาท

2.เงินที่นำไปชำระค่าเช่าซื้อรถ จำนวน 3 รายการ 2.1 ค่าเช่าซื้อรถขุดไฮดรอลิค ยี่ห้อโคมัตสุ ตามสัญญาเช่าซื้อ ลงวันที่ 31 มีนาคม 2554 ที่มีชื่อคู่สมรสเป็นผู้ครอบครอง รวมจำนวน 2,155,000 บาท 2.2 ค่าเช่าซื้อรถขุดไฮดรอลิค ยี่ห้อโคมัตสุ ตามสัญญาเช่าซื้อ ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2555 ที่มีชื่อคู่สมรสเป็นผู้ครอบครอง รวมจำนวน 1,230,447 บาท 2.3 ค่าเช่าซื้อรถบรรทุกยี่ห้อ MITSUBISHI ที่มีชื่อคู่สมรสเป็นผู้ครอบครอง รวมจำนวน 393,942.60 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้ นายไกรวิชญ์ ปัญญาชัย ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจ ในตำแหน่งหน้าที่ เป็นเงินจำนวน 12,644,010.54 บาท ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน

และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อสั่งให้พ้นจากตำแหน่งภายในหกสิบวันและให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคห้า

หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125

เรื่องที่ 3 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหานายวินัย เครื่องไชย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหัวง้ม อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ร่ำรวยผิดปกติ รวมเป็นเงินจำนวน 616,000 บาท

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2555 – 2564 ขณะที่นายวินัย เครื่องไชย ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหัวง้ม อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย มีรายการโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก ของหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด สุภีร์ เจริญทรัพย์ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับองค์การบริหารส่วนตำบลหัวง้ม เข้าบัญชีเงินฝากของนายวินัย เครื่องไชย จำนวน 22 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 616,000 บาท โดยปราศจากมูลอันจะอ้างได้ ตามกฎหมาย

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้ นายวินัย เครื่องไชย ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ เป็นเงินจำนวน 616,000 บาท ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน

และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อสั่งให้พ้นจากตำแหน่งภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคห้า

หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *