คนละครึ่งพลัส 20 ล้านสิทธิ์ วัยโจ๋ 16 ปีได้ด้วย คลังเผยร้านค้า-สินค้าชนิดใดร่วมบ้าง

Author:

เอกนิติ แจงสภา ‘คนละครึ่งพลัส’ ครอบคลุม 20 ล้านสิทธิ์ ขยายสิทธิ์ถึงเด็กอายุ 16 ปีขึ้นไป ร้านเล็ก–แม่ค้าตลาดได้เต็ม ตัดสิทธิ์ห้างใหญ่ ใช้ 29 ต.ค.–30 ธ.ค.

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 2 ต.ค.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการตอบกระทู้สด นายสังคม แดงโชติ สส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคภูมิใจไทย กระทู้ถามสด เรื่องการดำเนินการของนโยบายคนละครึ่งพลัส โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง มาชี้แจง

นายเอกนิติ กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัส มีหลักการคล้ายเดิม รัฐบาลออกให้ครึ่งหนึ่งไปซื้อของ แต่ด้วยความที่ภาวะเศรษฐกิจแย่มาก จึงตัดสินใจให้ 200 บาท คือ รัฐบาลสบทบ 200 บาท ประชาชนใช้ 200 บาท ซึ่งเป็นงบที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้เพิ่มปัญหาภาระทางการคลัง

โดยให้สิทธิประชาชน20 ล้านคน จะได้ประโยชน์ในเรื่องลดค่าครองชีพ ซื้อของ บริการรถสาธารณะ รวมถึงซื้ออาหารในตลาด ในส่วนของร้านค้า จะได้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ซึ่งเราให้เฉพาะร้านขนาดเล็ก แม่ค้าขายหมูปิ้ง พ่อค้าในตลาดขายส้มตำ

โดยเราจะไม่ให้ร้านใหญ่ที่เป็นของบริษัทขนาดใหญ่ เพราะต้องการให้เงินไปตกอยู่กับประชาชนจริงๆ รวมถึงนิติบุคคลเล็กๆ ก็สามารถร่วมโครงการด้วย โดยเดิม เราให้สิทธิเด็กตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป แต่โครงการนี้ให้ตั้งแต่อายุ16 ปี ที่ส่วนมากเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย

นายเอกนิติกล่าวว่า ในส่วนของพลัสที่เพิ่มเข้ามา คนในระบบภาษีเราจะให้สิทธิ 2,400 บาท เพราะเงินที่นำมาใช้ในโครงนี้มาจากภาษี ดังนั้น เขาจะได้รู้สึกว่าได้ประโยชน์จากการเสียภาษีด้วย จะทำให้เรตติ้ง เอเจนซี่ (Rating Agency) หรือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ทำหน้าที่ประเมินและให้คะแนนคุณภาพความเสี่ยงของบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ หรือตราสารหนี้ เห็นว่าเราคำนึงถึงวินัยการคลัง

ที่สำคัญ การกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว คือจะมีการเพิ่มทักษะให้พ่อค้าแม่ค้า โดยสอนทักษะการขายออนไลน์ จากที่ขายอยู่ในตลาดก็ขายในออนไลน์ได้ เพื่อให้มีรายได้ที่ยั่งยืน และเราจะให้ทำบัญชีแบบง่ายๆเหมือนบัญชีครัวเรือน จะทราบเลยว่าซื้อวัตถุดิบมาเท่าไหร่ โดยกระทรวงการคลังกำลังติดต่อธนาคารเพื่อให้ปล่อยสินเชื่อได้โดยตรง หากทำบัญชีได้ถูกต้องก็ปล่อยสินเชื่อได้เลย เป็นการแก้ปัญหาหนี้สินในครัวเรือนได้ในระยะยาว

นอกจากนี้รัฐบาลยังคำนึกถึงประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนในการลงทะเบียนเข้าโครงการนี้ โดยใช้ระบบบัตรสวัสดิการประชาชน เพราะส่วนใหญ่กลุ่มนี้เป็นคนระดับล่างที่ไม่มีแม้แต่เงินจะกิน จะใช้ ประมาณ 13.4 ล้านคน ซึ่งเราจะทำควบคู่โดยการเติมเงินเข้าไปในบัตรสวัสดิการ จากเดิมได้เดือนละ 300 บาท จะเติมเพิ่มเข้าไปอีก 1,700 บาท ให้เป็น 2,000 บาท เริ่มใช้ได้วันที่ 29 ต.ค.-30 ธ.ค. โดยใช้ได้ทันที

วันที่ 15 ต.ค. จะเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียน เรามีร้านเดิมอยู่ในระบบ จะนำมาใช้ด้วยโดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ สำหรับร้านค้าที่เข้าเกณฑ์ คือร้านอาหาร เครื่องดื่มทั่วไป ผู้ประกอบการบริหารนวด สปา ทำผม ทำเล็บ ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ รวมถึงแท็กซี่ รถขนส่งที่มีใบขับขี่สาธารณะ

สำหรับประชาชน 20 ล้านสิทธิ์ ที่ไม่ได้มีบัตรสวัสดิการ จะได้ลงทะเบียน 20-26 ต.ค. ผ่านระบบเป๋าตังที่มีอยู่แล้ว ใครที่เคยลงอยู่แล้วก็จะง่ายเพราะทำแค่ยืนยันสิทธิ์ และจะเริ่มใช้ได้ทันที่เช่นเดียวกับบัตรสวัสดิการ

นายเอกนิติ ชี้แจงถึงความกังวลของผู้ประกอบการรายเล็กในเรื่องภาษีด้วยว่า ไม่ต้องกังวล ว่าจะไปตามเก็บภาษีย้อนหลัง และอยากให้คิดถึงประเทศว่าภาษีเป็นเรื่องสำคัญ และอยากให้เข้าตามระบบได้ถูกต้องเพื่อให้ประเทศเรามีความยั่งยืนในระยะยาว

ส่วนประชาชนที่ไม่มีทั้งบัตรสวัสดิการและสมาร์ทโฟนนั้น ทางกระทรวงการคลัง มีการทบทวนอยู่เรื่อยๆ โดยมีสวัสดิการอื่นๆ อยู่แล้วสำหรับคนนอกระบบ โดยมีนโยบายเรื่องการออมกับการลดหนี้สินภาคประชาชน

เราพยายามใช้งบที่สถาบันการเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟู โดยนำเงินส่วนนี้ไปซื้อหนี้ออกมาผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ จะทำให้ประชาชนที่ถูกตามหนี้ในระบบสามารถบริหารจัดการยืดหนี้ได้มากขึ้น สอนเขาให้เป็นคนดี มีวินัยมากขึ้น คือนโยบาย “สินเชื่ออารีย์สกอร์” โดยไม่ต้องกลัวเรื่องเครดิตบูโร เป็นโครงการที่ทำให้เข้าถึงสินเชื่อเพื่อลดดอกเบี้ย

ส่วนการออมในรูปหวยสลาก ขอยืนยันว่าโครงการนี้ไม่เหมือนหวยเกษียณ คือซื้อหวยปกติ แต่รัฐจะคืนเงินบางส่วนให้กับผู้ซื้อ ในลักษณะเงินออม โดยเราจะนำไปสะสมเป็นเงินออมระยะยาว จะสามารถถอนได้ตอนอายุ 55 ปี และนำมาเป็นหลักประกันกู้เงินธนาคารได้ หากมีความจำเป็นเร่งด่วน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *